วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ชิ้นที่6 บทบาทพระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อการพัฒนาชาติไทย
บทบาทพระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต่อการพัฒนาชาติไทย
ด้านการเมือง
สถาบัน พระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองการปกครองการรวมชาติ การสร้างเอกราช การวางรากฐานการเมืองการปกครอง การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่อดีตสืบต่อมาตลอดปัจจุบันบทบาทของพระมหา กษัตริย์มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพของประเทศเป็นอย่างมาก คนไทยทุกกลุ่มไม่ว่าศาสนาใดมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันอย่างไรก็มีความรู้สึก ร่วมในการมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน การเสด็จออกเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆ แม้ท้องถิ่นทุรกันดาร หรือมากด้วยภยันตรายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ราษฎรมีขวัญและกำลังใจดี มีความรู้สึกผูกพันกับชาติว่ามิได้ถูกทอดทิ้ง พระราชกรณียกิจดังกล่าวของพระองค์มีส่วนช่วยในการปกครองเป็นอย่างมากพระ ราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์นั้นมีมาก และล้วนก่อประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมทั้งสิ้น แม้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจจะเป็นพระราชภาระอันหนัก แต่ก็ได้ทรงกระทำอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ จนกระทั่งสามารถที่จะผูกจิตใจของประชาชนให้เกิดความจงรักภักดี เพาะตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระองค์ว่า ทรงเห็นแก่ประโยชน์สุขของส่วนรวมมากกว่าพระองค์เอง ทรงเสียสละยอมทุกข์ยากเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริงดังพระราชปณิธานของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม
ด้านเศรษฐกิจ
การ พัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตย โดยการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่างๆ ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนาธรรม ทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรม เพื่อชาวนา ชาวไร่ และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น โครงการฝนหลวง ชลประทาน พัฒนาที่ดิน พัฒนาชาวเขา เป็นต้น
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
พระ มหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขและความ เจริญแก่สังคม ได้ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระราชดำริและโครงการที่ทรงริเริ่มมีมากซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานในการพัฒนา ชาติทั้งสิ้น โครงการของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่สำคัญ ได้แก่ โครงการอีสานเขียว โครงการฝนหลวง โครงการปลูกป่า โครงการขุดคลองระบายน้ำ โครงการปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดในเมืองใหญ่ โครงการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ทรงทำเป็นแบบอย่างที่ดีประชาชนและหน่วยราชการนำไปปฏิบัติก่อให้เกิดประโยชน์ ในทางการพัฒนาชาติขึ้นมาก นอกจากนี้ทรงทำให้เกิดความคิดในการดำรงชีวิตแบบใหม่ เช่น การประกอบอาชีพ การใช้วิทยาการมาช่วยทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นด้านการต่างประเทศพระ มหากษัตริย์ในอดีตได้ทรงดำเนินวิเทโศบายได้อย่างดีจนสามารถรักษาเอกราชไว้ ได้ โดยเฉพาะสมัยการล่าเมืองขึ้นในรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันก็ทรงดำเนินการให้เกิดความ เข้าใจอันดี ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่างๆ กับประเทศไทย โดยเสด็จพระราชดำเนินเป็นทูตสันถวไมตรีกับประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 31 ประเทศ ทำให้นโยบายต่างประเทศดำเนินไปอย่างสะดวกและราบรื่น นอกจากนั้นยังทรงเป็นผู้แทนประเทศไทยต้อนรับประมุขประเทศ ผู้นำประเทศ เอกอัครราชทูต และทูตสันถวไมตรีจากต่างประเทศอีกด้วย
ชิ้นที่ 5 การเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 -ปัจจุบัน
ประชาธิปไตยกับสังคมการเมืองไทย : 2475 - ปัจจุบัน
หากกล่าวถึงรูปแบบการปกครองของสังคมโลกในปัจจุบันแล้ว เราอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งกระแสประชาธิปไตย ในงานเขียนชิ้นนี้จึงมุ่งนำเสนอมุมมองและการศึกษาประชาธิปไตยโดยผ่านเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก โดยจะกล่าวดังต่อไปนี้
1.ความหมายของประชาธิปไตย
อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวไว้ว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ในมือของประชาชนทั้งหมด (กมล สมวิเชียร,2520;2)
ประเวศ วะสี ประชาธิปไตยคือ การลดอำนาจรัฐ หัวใจของประชาธิปไตยคือการลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน (ประเวศ วะสี,2535:62)
สำหรับความหมายและนิยามประชาธิปไตยนั้น มีอยู่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามมุมมองของสังคมและผู้นิยามหรือผู้ให้การศึกษา แต่สำหรับประเทศไทย ประชาธิปไตยนั้นเป็นกระแสประชาธิปไตยแบบเสรีประชาธิปไตย
เสรีประชาธิปไตยหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประชาธิปไตยแบบตะวันตกต้นกำเนิดมายาวนานกว่าประชาธิปไตยแบบอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าระบบการเมืองของมนุษย์เกิดขึ้นได้ด้วยความสมัครใจและสติปัญญาของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถและเป็นสมาชิกของรัฐ ดังนั้นจึงควรได้รับการรับรองสิทธิ การใช้กำลังบังคับเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในทางการเมือง ถือเป็นความชั่วร้าย(วิสุทธิ์ โพธิ์แท่น,2524:14-17)
2.ประชาธิปไตยกับสังคมการเมืองไทย : 2475- ปัจจุบัน
เมื่อกล่าวถึงประชาธิปไตยในสังคมการเมืองไทย เราอาจกล่าวได้ว่ายุคที่เริ่มมาสู่การเป็นระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้น เริ่มต้นขึ้นในเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่24มิถุนายน2475 โดยคณะราษฎรซึ่งเป็นยุคที่มีการพัฒนาการทางด้านประชาธิปไตยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่เราเรียกการปกครองของไทยว่าเป็น รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
แต่หากเรามองสังคมการเมืองไทยยุค2475-ปัจจุบันเปรียบเทียบกับหลักการหรือวิถีการแห่งประชาธิปไตยในสังคมโลกที่เป็นเสรีประชาธิปไตยอย่าง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่เรารับแนวคิดมานั้นเราจะพบอะไรบางอย่าง
เมื่อกล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 โดยเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีสภา และต่อมาก็มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรนั้นเป็นผลผลักดันความคิดที่ต้องการมีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมของรัฐที่สำคัญกับบรรดากลุ่มขุนนางและเป็นผลิตผลของการปฏิรูปการปกครองเมื่อพ.ศ.2475 และปัจจัยการผลักดันการเคลื่อนไหวการเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิต นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ตุลาคม 2516นั้น ก็คือ การป้องกันมิให้เกิดการสืบทอดอำนาจเผด็จการโดยนำเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือต่อต้านการก่อรูปอย่างเป็นสถาบันของอำนาจเผด็จการโดยคณะทหารและการต่อต้านรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ในเดือนพฤษภาคม 2528ก็ได้รับการผลักดันจากการต่อสู้กับการฝักตัวของอำนาจเผด็จการทหารภายใต้เปลือกของคณะ รสช .
ซึ่งหากเรามองดูลักษณะการเมืองการปกครองในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475เป็นต้นมาถึงสมัยจอมพลสฤษ ธนะรัชต์ เราจะเห็นได้ว่าระบอบการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยที่ข้าราชการเป็นใหญ่ (ชัยอนันท์ สมุทวาณิช,2538:56-57)
เพราะในช่วงดังกล่าว ระบบการเมืองมีเพียงระบบราชการเท่านั้นที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง การตัดสินใจต่างๆของรัฐบาลล้วนมาจากการริเริ่มของระบบราชการ และอาศัยความเห็นชอบของระบบราชการเป็นส่วนในการตัดสินนโยบายต่างๆของรัฐ เพราะในช่วงนี้กลุ่มนอกระบบราชการอาทิ นักธุรกิจ กรรมกร ชาวนามีน้อยและไม่เข้มแข็ง นอกจากนี้ระบบการเมืองที่อิงอยู่บนฐานของระบบราชการได้แพร่อิทธิพลเข้าสู่ภาคธุรกิจในรูปของรัฐวิสาหกิจและร่วมมือกับนักธุรกิจในการดำเนินงานธุรกิจเอกชน และผู้นำในช่วงดังกล่าวล้วนมาจากระบบราชการโดยเฉพาะทหาร เช่น พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพลป.พิบูลสงคราม พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พลเอกถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแม้จะมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในรูปแบบต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง แต่ประชาชนหาได้มีบทบาทที่มีความหมายอย่างแท้จริง ดังนั้นรัฐไทยในช่วงดังกล่าวจึงเป็นรัฐอำมาตยาธิปไตยของระบบราชการโดยเฉพาะทหาร(วิชัย ตันศิริ,2548:231-240) และหลังจากยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็เกิดการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลางและการขยายตัวของชนชั้นกลางในสังคมไทย สาเหตุของการเกิดชนชั้นกลางนั้นเป็นผลจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ ทำให้ภาคเอกชนขยายตัวได้รวดเร็ว โดยเฉพาะสถาบันการเงินธนาคารและอุตสาหกรรม จนพ.ศ.2525-2526 ภาคเอกชนได้ขยายตัวและเปิดตำแหน่งหน้าที่การงานมากมาย โดยเฉพาะบริษัทใหญ่เช่นการให้สวัสดิการและความมั่นคงแก่พนักงานและด้วยสภาพการที่สังคมขยายตัวและมีความสลับซ้อนมากขึ้นรัฐบาลจึงต้องขยายตัวเพื่อดูแลให้บริการแก่ประชาชนที่เพิ่มขึ้น ทำให้บุคคลมีโอกาสทำงานในภาครัฐเพิ่มขึ้น ผนวกกับกระแสการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของวิถีชีวิตของชนชั้นกลางในสังคมอื่น เช่น อเมริกันและญี่ปุ่น ทำให้เกิดการรับรู้และเลียนแบบวิถีชีวิตของชนชั้นกลางโดยไม่รู้ตัวหรืออาจจะรู้ตัวก็ได้ และยิ่งขณะนั้นการศึกษาเป็นความต้องการของบุคคล เพื่อการก้าวหน้าในชีวิตและการงาน ฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ชนชั้นกลางในขณะนั้น เช่น พ่อค้า นักธุรกิจ นายทุน ข้าราชการฯลฯ การเติบโตของชนชั้นกลางที่ขยายตัวพร้อมกับภาคเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีกลุ่มนักธุรกิจเริ่มเข้าไปหาประโยชน์ในภาคการเมือง เช่น เชิญชวนข้าราชการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจเพื่ออาศัยความคุ้มครองจากระบบราชการ จนกระทั่งได้ขยายฐานอำนาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง การเข้าไปมีตำแหน่งนั้นในการทำธุรกิจและหาเงินจากการอนุมัติโครงการ จึงเป็นลักษณะของธุรกิจการเมือง การใช้อำนาจเงินในการเข้าสู่ตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองเช่นนี้ทำให้เกิดสถานการณ์เรียกว่า ธนาธิปไตย ซึ่งยุคของการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มอณาธิปไตย(ระบบราชการ) กับกลุ่มธนาธิปไตย (ชนชั้นกลาง นักธุรกิจ นายทุน) ซึ่งอยู่ในฐานะกลุ่มผู้ปกครองถือครองอำนาจของรัฐและได้รับผลประโยชน์จากอำนาจดังกล่าว ก็ได้แข่งขันช่วงชิงกัน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรูปแบบประชาธิปไตยของตน โดยใช้ผู้ใต้ปกครองนั่นคือประชาชน เป็นฐานความชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย(ในทางรูปแบบ) ให้กับกลุ่มผู้ปกครอง ผ่านการออกเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น (จุมพล หนิมพาณิช,2548)
ดังนั้นแล้วเราจะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยในระบบการเมืองไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากการต่อสู้ร่วมกันระหว่างผู้นำทางการเมืองประชาชน แต่เป็นเรื่องของผลิตผลการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของกลุ่มผู้ปกครอง นั้นคือ กลุ่มข้าราชการประจำที่มีทหารเป็นแกนหลัก และกลุ่มพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งและแม้ในรัฐบาลทักษิณ ชิณวัตรซึ่งมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทั้งในรูปแบบ อบจมม. อบต. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆแต่ก็เป็นเพียงรูปแบบเท่านั้นหาได้มีการกระจายอำนาจที่แท้จริงไม่ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเพียงในบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ หากแต่ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีสิทธิ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยเลย เห็นได้จาก กรณีการปราบปรามยาเสพติดโดยการฆ่าตัดตอน ที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จนทำให้ประเทศถูกวิจารณ์จากต่างประเทศว่าเป็นประเทศแห่งการละเมิดสิทธิมนุษยชน การจัดการทรัพยากรชุมชนรัฐก็ยังเข้ามาควบคุม บางครั้งก็ถึงกับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ เช่น การตั้งเขตชุมชนที่ชาวบ้านอยู่เป็นสิบๆปีเป็นเขตป่าสงวน หรือเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า ปัญหาการสร้างเขื่อนโดยไม่มองภาคประชาชนในพื้นที่ มองแต่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง พ่อค้า นักธุรกิจ ผลประโยชน์ของรัฐบาล เช่น กรณีการสร้างเขื่อนปากมูลตั้งแต่ปี2532 จนเป็นปัญหากระทั่งทุกวันนี้ อีกทั้งปัญหาความรุนแรงใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางให้กับนักการเมืองและกลุ่มนักธุรกิจอาศัยเป็นช่องทางในการหาประโยชน์และโกงกิจบ้านเมือง ดังที่ปรากฏให้เห็นในช่วงก่อนหน้าการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา
3.สรุปและข้อเสนอแนะ
ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม สิทธิและ เสรีภาพ หลักประกันของประชาชนในชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งความสงบสุขและก้าวหน้าของประเทศตามระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีประชาธิปไตย ยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพัฒนาทางการเมืองไทยในช่วง 2475 เป็นต้นมาเป็นเพียงการต่อสู้กันระหว่างผู้กุมอำนาจทางสังคมการเมืองสองระบอบคือ" คณาธิปไตย" ที่นำโดยข้าราชการโดยเฉพาะทหาร กับ "ธนาธิปไตย" ที่นำโดยกลุ่มนักธุรกิจ นายทุนที่มีเงินเป็นฐานในการสร้างอำนาจและยิ่งปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของคณะทหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ (คมช.) ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณเป็นผู้ได้กุมอำนาจทางการเมืองและสังคมและได้พยายามจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง เพื่อความมั่นคง และสงบสุขของประเทศตามที่ได้กล่าวอ้างไว้ เมื่อครั้งทำการรัฐประหารยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสังคมไทยนั่นคือ ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญซึ่งได้มาจากการรัฐประหาร จะสร้างความมั่นคง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความสงบสุขและก่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่มวลมนุษย์แสวงหาได้จริงหรือ ?
หรือว่าประชาธิปไตยของไทยยังคงจะดำเนินต่อไปในรูปแบบของการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มผู้ปกครอง " คณาธิปไตย" กับ "ธนาธิปไตย" ต่อไป จึงเป็นที่น่าสนใจว่ารูปแบบของประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากโลกตะวันตก ในแบบเสรีประชาธิปไตยนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ในสังคมไทย
และเราจะเห็นถึงพลังบางอย่างที่อิงอยู่ในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ที่คณะรัฐประหารได้ใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมและเป็นแรงสนับสนุนในการรัฐประหารครั้งนี้ จนกระทั่งเกิดกระแสที่นักวิชาการไทยต้องแยกแนวคิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ออกเป็น 2 ฝ่าย อย่างที่ไม่เคยปรากฏในการรัฐประหารครั้งไหนๆ นั้นคือ สถาบันกบัตริย์ ที่ถูกกล่าวอ้างถึงหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่านอกจากการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มผู้ปกครอง " คณาธิปไตย" กับ "ธนาธิปไตย" ในสังคมไทยแล้วยังมีปัญหาหรือเงื่อนไขอะไรอีกหรือไม่ที่แอบแฝงอยู่ในการสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยในแบบเสรีประชาธิปไตยที่เรารับเข้ามาจากตะวันตกซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกในขณะนี้
หากกล่าวถึงรูปแบบการปกครองของสังคมโลกในปัจจุบันแล้ว เราอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งกระแสประชาธิปไตย ในงานเขียนชิ้นนี้จึงมุ่งนำเสนอมุมมองและการศึกษาประชาธิปไตยโดยผ่านเสรีประชาธิปไตยซึ่งเป็นกระแสหลักของโลก โดยจะกล่าวดังต่อไปนี้
1.ความหมายของประชาธิปไตย
อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวไว้ว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้นอำนาจสูงสุดอยู่ในมือของประชาชนทั้งหมด (กมล สมวิเชียร,2520;2)
ประเวศ วะสี ประชาธิปไตยคือ การลดอำนาจรัฐ หัวใจของประชาธิปไตยคือการลดอำนาจรัฐและเพิ่มอำนาจประชาชน (ประเวศ วะสี,2535:62)
สำหรับความหมายและนิยามประชาธิปไตยนั้น มีอยู่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามมุมมองของสังคมและผู้นิยามหรือผู้ให้การศึกษา แต่สำหรับประเทศไทย ประชาธิปไตยนั้นเป็นกระแสประชาธิปไตยแบบเสรีประชาธิปไตย
เสรีประชาธิปไตยหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประชาธิปไตยแบบตะวันตกต้นกำเนิดมายาวนานกว่าประชาธิปไตยแบบอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าระบบการเมืองของมนุษย์เกิดขึ้นได้ด้วยความสมัครใจและสติปัญญาของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถและเป็นสมาชิกของรัฐ ดังนั้นจึงควรได้รับการรับรองสิทธิ การใช้กำลังบังคับเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในทางการเมือง ถือเป็นความชั่วร้าย(วิสุทธิ์ โพธิ์แท่น,2524:14-17)
2.ประชาธิปไตยกับสังคมการเมืองไทย : 2475- ปัจจุบัน
เมื่อกล่าวถึงประชาธิปไตยในสังคมการเมืองไทย เราอาจกล่าวได้ว่ายุคที่เริ่มมาสู่การเป็นระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้น เริ่มต้นขึ้นในเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่24มิถุนายน2475 โดยคณะราษฎรซึ่งเป็นยุคที่มีการพัฒนาการทางด้านประชาธิปไตยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่เราเรียกการปกครองของไทยว่าเป็น รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
แต่หากเรามองสังคมการเมืองไทยยุค2475-ปัจจุบันเปรียบเทียบกับหลักการหรือวิถีการแห่งประชาธิปไตยในสังคมโลกที่เป็นเสรีประชาธิปไตยอย่าง อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ที่เรารับแนวคิดมานั้นเราจะพบอะไรบางอย่าง
เมื่อกล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.2475 โดยเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีสภา และต่อมาก็มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรนั้นเป็นผลผลักดันความคิดที่ต้องการมีส่วนร่วมกำหนดชะตากรรมของรัฐที่สำคัญกับบรรดากลุ่มขุนนางและเป็นผลิตผลของการปฏิรูปการปกครองเมื่อพ.ศ.2475 และปัจจัยการผลักดันการเคลื่อนไหวการเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิต นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในเหตุการณ์ตุลาคม 2516นั้น ก็คือ การป้องกันมิให้เกิดการสืบทอดอำนาจเผด็จการโดยนำเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือต่อต้านการก่อรูปอย่างเป็นสถาบันของอำนาจเผด็จการโดยคณะทหารและการต่อต้านรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ในเดือนพฤษภาคม 2528ก็ได้รับการผลักดันจากการต่อสู้กับการฝักตัวของอำนาจเผด็จการทหารภายใต้เปลือกของคณะ รสช .
ซึ่งหากเรามองดูลักษณะการเมืองการปกครองในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475เป็นต้นมาถึงสมัยจอมพลสฤษ ธนะรัชต์ เราจะเห็นได้ว่าระบอบการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยที่ข้าราชการเป็นใหญ่ (ชัยอนันท์ สมุทวาณิช,2538:56-57)
เพราะในช่วงดังกล่าว ระบบการเมืองมีเพียงระบบราชการเท่านั้นที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมือง การตัดสินใจต่างๆของรัฐบาลล้วนมาจากการริเริ่มของระบบราชการ และอาศัยความเห็นชอบของระบบราชการเป็นส่วนในการตัดสินนโยบายต่างๆของรัฐ เพราะในช่วงนี้กลุ่มนอกระบบราชการอาทิ นักธุรกิจ กรรมกร ชาวนามีน้อยและไม่เข้มแข็ง นอกจากนี้ระบบการเมืองที่อิงอยู่บนฐานของระบบราชการได้แพร่อิทธิพลเข้าสู่ภาคธุรกิจในรูปของรัฐวิสาหกิจและร่วมมือกับนักธุรกิจในการดำเนินงานธุรกิจเอกชน และผู้นำในช่วงดังกล่าวล้วนมาจากระบบราชการโดยเฉพาะทหาร เช่น พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพลป.พิบูลสงคราม พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พลเอกถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และแม้จะมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในรูปแบบต่างๆ เช่น การเลือกตั้ง แต่ประชาชนหาได้มีบทบาทที่มีความหมายอย่างแท้จริง ดังนั้นรัฐไทยในช่วงดังกล่าวจึงเป็นรัฐอำมาตยาธิปไตยของระบบราชการโดยเฉพาะทหาร(วิชัย ตันศิริ,2548:231-240) และหลังจากยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ก็เกิดการกำเนิดขึ้นของชนชั้นกลางและการขยายตัวของชนชั้นกลางในสังคมไทย สาเหตุของการเกิดชนชั้นกลางนั้นเป็นผลจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ ทำให้ภาคเอกชนขยายตัวได้รวดเร็ว โดยเฉพาะสถาบันการเงินธนาคารและอุตสาหกรรม จนพ.ศ.2525-2526 ภาคเอกชนได้ขยายตัวและเปิดตำแหน่งหน้าที่การงานมากมาย โดยเฉพาะบริษัทใหญ่เช่นการให้สวัสดิการและความมั่นคงแก่พนักงานและด้วยสภาพการที่สังคมขยายตัวและมีความสลับซ้อนมากขึ้นรัฐบาลจึงต้องขยายตัวเพื่อดูแลให้บริการแก่ประชาชนที่เพิ่มขึ้น ทำให้บุคคลมีโอกาสทำงานในภาครัฐเพิ่มขึ้น ผนวกกับกระแสการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของวิถีชีวิตของชนชั้นกลางในสังคมอื่น เช่น อเมริกันและญี่ปุ่น ทำให้เกิดการรับรู้และเลียนแบบวิถีชีวิตของชนชั้นกลางโดยไม่รู้ตัวหรืออาจจะรู้ตัวก็ได้ และยิ่งขณะนั้นการศึกษาเป็นความต้องการของบุคคล เพื่อการก้าวหน้าในชีวิตและการงาน ฐานะทางสังคม ด้วยเหตุนี้ชนชั้นกลางในขณะนั้น เช่น พ่อค้า นักธุรกิจ นายทุน ข้าราชการฯลฯ การเติบโตของชนชั้นกลางที่ขยายตัวพร้อมกับภาคเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีกลุ่มนักธุรกิจเริ่มเข้าไปหาประโยชน์ในภาคการเมือง เช่น เชิญชวนข้าราชการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจเพื่ออาศัยความคุ้มครองจากระบบราชการ จนกระทั่งได้ขยายฐานอำนาจเข้าไปแทรกแซงกระบวนการทางการเมือง การเข้าไปมีตำแหน่งนั้นในการทำธุรกิจและหาเงินจากการอนุมัติโครงการ จึงเป็นลักษณะของธุรกิจการเมือง การใช้อำนาจเงินในการเข้าสู่ตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองเช่นนี้ทำให้เกิดสถานการณ์เรียกว่า ธนาธิปไตย ซึ่งยุคของการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มอณาธิปไตย(ระบบราชการ) กับกลุ่มธนาธิปไตย (ชนชั้นกลาง นักธุรกิจ นายทุน) ซึ่งอยู่ในฐานะกลุ่มผู้ปกครองถือครองอำนาจของรัฐและได้รับผลประโยชน์จากอำนาจดังกล่าว ก็ได้แข่งขันช่วงชิงกัน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรูปแบบประชาธิปไตยของตน โดยใช้ผู้ใต้ปกครองนั่นคือประชาชน เป็นฐานความชอบธรรมให้กับประชาธิปไตย(ในทางรูปแบบ) ให้กับกลุ่มผู้ปกครอง ผ่านการออกเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น (จุมพล หนิมพาณิช,2548)
ดังนั้นแล้วเราจะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยในระบบการเมืองไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากการต่อสู้ร่วมกันระหว่างผู้นำทางการเมืองประชาชน แต่เป็นเรื่องของผลิตผลการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของกลุ่มผู้ปกครอง นั้นคือ กลุ่มข้าราชการประจำที่มีทหารเป็นแกนหลัก และกลุ่มพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งและแม้ในรัฐบาลทักษิณ ชิณวัตรซึ่งมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ให้สิทธิแก่ประชาชนในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทั้งในรูปแบบ อบจมม. อบต. องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆแต่ก็เป็นเพียงรูปแบบเท่านั้นหาได้มีการกระจายอำนาจที่แท้จริงไม่ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยก็เป็นเพียงในบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ หากแต่ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีสิทธิ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยเลย เห็นได้จาก กรณีการปราบปรามยาเสพติดโดยการฆ่าตัดตอน ที่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จนทำให้ประเทศถูกวิจารณ์จากต่างประเทศว่าเป็นประเทศแห่งการละเมิดสิทธิมนุษยชน การจัดการทรัพยากรชุมชนรัฐก็ยังเข้ามาควบคุม บางครั้งก็ถึงกับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ เช่น การตั้งเขตชุมชนที่ชาวบ้านอยู่เป็นสิบๆปีเป็นเขตป่าสงวน หรือเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า ปัญหาการสร้างเขื่อนโดยไม่มองภาคประชาชนในพื้นที่ มองแต่ผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง พ่อค้า นักธุรกิจ ผลประโยชน์ของรัฐบาล เช่น กรณีการสร้างเขื่อนปากมูลตั้งแต่ปี2532 จนเป็นปัญหากระทั่งทุกวันนี้ อีกทั้งปัญหาความรุนแรงใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางให้กับนักการเมืองและกลุ่มนักธุรกิจอาศัยเป็นช่องทางในการหาประโยชน์และโกงกิจบ้านเมือง ดังที่ปรากฏให้เห็นในช่วงก่อนหน้าการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา
3.สรุปและข้อเสนอแนะ
ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม สิทธิและ เสรีภาพ หลักประกันของประชาชนในชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งความสงบสุขและก้าวหน้าของประเทศตามระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีประชาธิปไตย ยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพัฒนาทางการเมืองไทยในช่วง 2475 เป็นต้นมาเป็นเพียงการต่อสู้กันระหว่างผู้กุมอำนาจทางสังคมการเมืองสองระบอบคือ" คณาธิปไตย" ที่นำโดยข้าราชการโดยเฉพาะทหาร กับ "ธนาธิปไตย" ที่นำโดยกลุ่มนักธุรกิจ นายทุนที่มีเงินเป็นฐานในการสร้างอำนาจและยิ่งปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของคณะทหารโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ (คมช.) ที่ทำการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณเป็นผู้ได้กุมอำนาจทางการเมืองและสังคมและได้พยายามจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อแก้ปัญหาของบ้านเมือง เพื่อความมั่นคง และสงบสุขของประเทศตามที่ได้กล่าวอ้างไว้ เมื่อครั้งทำการรัฐประหารยิ่งเป็นการบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับสังคมไทยนั่นคือ ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญซึ่งได้มาจากการรัฐประหาร จะสร้างความมั่นคง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความสงบสุขและก่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่มวลมนุษย์แสวงหาได้จริงหรือ ?
หรือว่าประชาธิปไตยของไทยยังคงจะดำเนินต่อไปในรูปแบบของการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มผู้ปกครอง " คณาธิปไตย" กับ "ธนาธิปไตย" ต่อไป จึงเป็นที่น่าสนใจว่ารูปแบบของประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจากโลกตะวันตก ในแบบเสรีประชาธิปไตยนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ในสังคมไทย
และเราจะเห็นถึงพลังบางอย่างที่อิงอยู่ในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ที่คณะรัฐประหารได้ใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมและเป็นแรงสนับสนุนในการรัฐประหารครั้งนี้ จนกระทั่งเกิดกระแสที่นักวิชาการไทยต้องแยกแนวคิดกับเหตุการณ์ครั้งนี้ออกเป็น 2 ฝ่าย อย่างที่ไม่เคยปรากฏในการรัฐประหารครั้งไหนๆ นั้นคือ สถาบันกบัตริย์ ที่ถูกกล่าวอ้างถึงหลายต่อหลายครั้ง
ทำให้เป็นที่น่าสังเกตว่านอกจากการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มผู้ปกครอง " คณาธิปไตย" กับ "ธนาธิปไตย" ในสังคมไทยแล้วยังมีปัญหาหรือเงื่อนไขอะไรอีกหรือไม่ที่แอบแฝงอยู่ในการสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยในแบบเสรีประชาธิปไตยที่เรารับเข้ามาจากตะวันตกซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกในขณะนี้
ชิ้นที่ 4 การพัฒนาชาติไทยสมัยรัชกาลที่4 5 6 7
พัฒนาการชาติไทยสมัยรัชกาลที่ 4-5-6-7 ด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
หัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ไทยตอนนี้ อยู่ที่การทำ สนธิสัญญาเบาริง ในสมัยรัชการที่ 4 ที่มาและสาระสำคัญของการทำสนธิสัญญาเบาริง มีดังนี้
1. ในสมัยรัชการที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนแปลงนโยบาย ต่างประเทศ มาเป็นการคบค้ากับชาวตะวันตก เพื่อความอยู่รอดของชาติ เนื่องจากทรงตระหนักถึงภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ซึ่งกำลังคุกคามประเทศต่าง ๆ อยู่ในขณะนั้น
2. จุดเริ่ิมของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ คือ การทำสนธิสัญญาเบาริง กับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2398 โดยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ได้แต่งตั้งให้ เซอร์ จอห์น เบาริง เป็นราชทูตเข้ามาเจรจา
3. สาระะสำคัญของสนธิสัญเบาริง มีดังนี้
o อังกฤษขอตั้งสถานกงสุลในประเทศไทย
o คนอังกฤษมีสิทธิเช่าที่ดินในประเทศไทยได้
o คนอังกฤษสามารถสร้างวัด และเผยแพร่คริสต์ศาสนาได้
o เก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3
o พ่อค้าอังกฤษและพ่อค้าไทยมีสิทธิค้าขายกันได้โดยเสรี
o สินค้าต้องห้าม ได้แก่่ ข้าว ปลา เกลือ
o ถ้าไทยทำสนธิสัญญากับประเทศอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์เหนือประเทศ อังกฤษ จะต้องทำให้อังกฤษด้วย
o สนธิสัญญานี้ จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จนกว่าจะใช้แล้ว 10 ปี และในการแก้ไข ต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย และ ต้องบอกล่วงหน้า 1 ปี
4. ผลของสนธิสัญญาเบาริง
o ผลดี
1. รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
2. การค้าขยายตัวมากขึ้น เปลี่ยนแปลงการค้าเป็นแบบเสรี
3. อารยธรรมตะวันตก เข้ามาแพร่หลาย สามารถนำมาปรับปรุงบ้านเมือง ให้เจริญก้าวหน้ามาขึ้น
o ผลเสีย
1. ไทยเสียสิทธิทางการศาลให้อังกฤษ และคนในบังคับอังกฤษ
2. อังกฤษ เป็นชาติที่ได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง
3. อังกฤษ เป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงไม่ยอมทำการแก้ไข
ผลจากการทำสนธิสัญญาเบาริง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้สภาพสังคมไทย เปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อนำประเทศให้เจริญก้าวหน้า ตามแบบอารยธรรมตะวันตก การเปลี่ยนแปลง ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
1.ด้านการปกครอง
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีบางอย่าง เพื่อให้ราษฎร มีโอกาสใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ คือ เปิดโอกาสให้ราษฎร เข้าเฝ้าได้โดยสะดวก ให้ราษฎรเข้าเฝ้าถวายฎีการ้องทุกข์ได้ ในขณะที่ทรงเสด็จพระราชดำเนิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการปกครอง ครั้งสำคัญ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การปรับปรุงในระยะแรก ให้ตั้งสภา 2 สภา คือ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) และ สภาที่ปรึกษาในพระองค์ (Privy Council) กับการปรับปรุงการปกครอง ในระยะหลัง (พ.ศ. 2435) ซึ่งนับว่า เป็นการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ โดยมีลักษณะ คือ การปกครองส่วนกลาง โปรดให้ยกเลิกการปกครอง แบบจตุสดมภ์ และ จัดแบ่งหน่วยราชการเป็นกรมต่าง ๆ 12 กรม (กะรทรวง) มีเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง การปกครองส่วนภูมิภาค ทรงยกเลิก การจัดหัวเมืองที่แบ่งเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี และจัตวา เปลี่ยนการปกครองเป็น เทศาภิบาล ทรงโปรดให้รวมเมืองหลายเมืองเป็นมณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครอง ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย กับทรงแบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคเป็นจังหวัด (เมือง) อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน และการปกครองส่วนท้องถิ่น เริ่มจัดการทดลองแบบ สุขาภิบาลขึ้นเป็นครั้งแรก
2. ด้านเศรษฐกิจ
ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริงแล้ว การค้าของไทยเจริญก้าวหน้าขึ้น มาก ทำให้มีการปรับปรุงด้านเศรษฐกิจ เช่น ในรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนการใช้เงินพดด้วงมาเป็นเงินเหรียญ และขุดคลอง ตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 เปลี่ยนมาตราเงินไทยมาใช้ระบบทศนิยม ใช้ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนเงิน ให้ใช้เหรียญบาท สลึง และเหรียญสตางค์แทนเงินแบบเดิม มีการจัดตั้งธนาคารของเอกชนขึ้นเป็นครั้งแรก คือ แบางก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบัน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์) ในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดให้ตั้งคลังออมสินขึ้น (ปัจจุบันคือ ธนาคารออมสิน)
3.ด้านวัฒนธรรม
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ทรงให้เสรีภาพประชาชน ในการนับถือศาสนาและประกอบอาชีพ โปรดให้สตรีได้ยกฐานให้สูงขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการสวมเสื้อราชปะแตก และสวมหมวกอย่างยุโรป ให้ข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบ ตามแบบตะวันตก โปรดให้ผู้ชายในราชสำนัก ไว้ผมทรงมหาดไทย เปลี่ยนมาไว้ผมตัดยาวทั้งศีรษะแบบฝรั่ง โปรดให้ผู้หญิงเลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาว ที่เรียกว่า "ทรงดอกกระุุทุ่ม" ทรงแก้ไขประเพณีการสืบสันตติวงศ์ โดยยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แล้วโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ขึ้น ทรงเลิกประเพณีหมอบคลานเข้าเฝ้า และให้ยืนเข้าเฝ้าแทน ยกเลิกการโกนผม เมื่อพระมหากษัตริย์สวรรคต ยกเลิกการไต่สวนคดีแบบจารีตนครบาล และที่สำคัญที่สุด ที่พระองค์ทรงได้พระราชสมัญญานาม ว่า "พระปิยมหาราช" ซึ่งแปลว่า มหาราชที่ทรงเป็นที่รักของประชาชน คือการยกเลิกระบบไพร่ และระบบทาส ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงประกาศใช้พระราชบัญญัตินามกสุล โปรดให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ แทนรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เปลี่ยนแปลงการนับเวลาทางราชการ ให้สอดคล้องกับสากลนิยม โปรดให้กำหนดคำนำหน้าชื่อเด็กหญิง เด็กชาย นางสาว และนาง เปลียนแปลงธงประจำชาติ จากธงรูปช้างเผือก มาเป็นธงไตรรงค์ ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ ตามแบบประเทศยุโรป
4.สภาพสังคม
การเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงดำริว่า การที่ประเทศไทยมีชนชั้นทาสมากเท่ากับเป็นการเสียเศรษฐกิจของชาติ และทำให้ต่างชาติดูถูกและเห็นว่าประเทศไทยป่าเถื่อนด้อยความเจริญ ซึ่งมีผลทำให้ประเทศมหาอำนาจต่างๆ คิดจะเข้าครอบครองไทย โดยอ้างว่า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ที่เจริญแล้วทั้งหลายดังนั้น ใน พ.ศ.2417 พระองค์จึงทรงเริ่มออกพระราชบัญญัติพิกัดกระเษียรอายุลูกทาสลูกไทขึ้น โดยกำหนดค่าตัวทาสอายุ 7-8 ปี มีค่าตัวสูงสุด 12-14 ตำลึง แล้วลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุ 21 ปี ค่าตัวจะเหลือเพียง 3 บาท ซึ่งทำให้ทาสมีโอกาสไถ่ตัวเป็นไทได้มากและใน พ.ศ.2420 พระองค์ทรงบริจาคเงินจำนวนหนึ่งเพื่อไถ่ตัวทาสที่อยู่กับเจ้านายมาครบ 25 ปี จำนวน 45 คน พ.ศ.2443 ทรงออกกฎหมายให้ทาสสินไถ่อายุครบ 60 ปี พ้นจากการเป็นทาสและห้ามขายตัวเป็นทาสอีก พ.ศ.2448 ออกพระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124 บังคับทั่วประเทศ ห้ามมีการซื้อทาสต่อไป ให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท จนครบจำนวนเงิน และให้บรรดาทาสเป็นไททั้งหมดการเลิกทาสของพระองค์ประสบความสำเร็จอย่างดี เป็นเพราะพระปรีชาญาณและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงใช้ทางสายกลาง ค่อยๆดำเนินงานไปทีละขั้นตอน ทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงดังเช่นประเทศต่างๆ ที่เคยประสบมา
ชิ้นที่3 เรื่องพัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
มูลเหตุการปรับปรุงการปกครอง
นายวรเดช จันทรศร ได้สรุปถึงปัญหาที่สยามประเทศเผชิญอยู่ในขณะนั้นที่เป็นเงื่อนไขความจำเป็นที่ก่อให้เกิดการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่รวม 7 ประการ ได้แก่
1. ปัญหาความล้าหลังของระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่มีรูปแบบของการจัดที่ทำให้เอกภาพของชาติตั้งอยู่บนรากฐานที่ไม่มั่นคงระบบบริหารล้าสมัยขาดประสิทธิภาพมีการทำงานที่ซ้ำซ้อนและสับสนการควบคุมและการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่สามารถทำได้ทำให้ความมั่นคงของประเทศอยู่ในอันตรายและยังเปิดโอกาสให้ค่านิยมของตะวันตกสามารถเข้าแทรกแซงได้โดยง่าย
2. ระบบบริหารการจัดเก็บภาษีอากรและการคลังของสยามประเทศ มิได้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาปรับปรุงบ้านเมืองและเสริมสร้างพระราชอำนาจให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เนื่องจากขาดหน่วยงานกลางที่จะควบคุมดูแลการจัดเก็บรักษาและใช้เงินรายได้แผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเจ้าพนักงานขุนนางผู้ดูแลการจัดเก็บภาษีรัฐ และเจ้าภาษีนายอากร ให้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ได้
3. การควบคุมกำลังคนในระบบไพร่ก่อให้เกิดปัญหาการใช้ไพร่เป็นฐานอำนาจทางการเมือง เพื่อล้มล้างพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เกิดความไม่มั่นคงต่อพระราชบัลลังก์ เกิดการขาดเอกภาพในชาติทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความล้าหลังไพร่ไม่สามารถสะสมทางเศรษฐกิจทั้งนี้ เพราะผลเนื่องมาจากการเกณฑ์แรงงาน นอกจากนี้การฉ้อราษฎร์บังหลวงของมูลนาย ยังเป็นการทำลายผลประโยชน์ของพระมหากษัตริย์ และเกิดความเสียหายต่อสยามโดยรวม
4. ปัญหาการมีทาสก่อให้เกิดการกดขี่และความไม่เป็นธรรมในสังคมเป็นเครื่องชี้ความป่าเถื่อนล้าหลังของบ้านเมืองที่มีอยู่ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศต่างชาติอาจใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาแทรกแซงของลัทธิล่าอาณานิคมที่จะสร้างความศิวิไลซ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในชาติด้อยพัฒนาในแง่เศรษฐกิจระบบทาสของสยามเป็นระบบใช้แรงงานที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นการพัฒนาคุณภาพกำลังคนในชาติ
5. ระบบทหารของสยามประเทศเป็นระบบที่ไม่สามารถป้องกันผลประโยชน์ และเกียรติของชาติไว้ได้เป็นระบบที่ยึดถือแรงงานของไพร่เป็นหลักในการป้องกันพระราชอาณาจักรทำให้การควบคุมประชาชนในประเทศถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ทำให้สถานภาพของพระมหากษัตริย์และเอกภาพของชาติตั้งอยู่บนฐานที่ไม่มั่นคง ทำให้กองทัพขาดเอกภาพขาดระเบียบวินัยอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรบไม่อำนวยให้เกิดการฝึกหัดที่ดีและการเรียกระดมเข้าประจำกองทัพล่าช้าทำให้ไม่ทราบจำนวนไพร่พลที่แน่นอน
6. ปัญหาข้อบกพร่องของระบบกฎหมาย และการศาลที่ล้าสมัยแตกต่างจากอารยะประเทศไม่เป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับคนในชาติ และชาวต่างชาติบทลงโทษรุนแรงทารุณการพิจารณา ล่าช้าคดีคั่งค้างไม่สามารถรองรับความเจริญทางการค้าพาณิชย์และสภาพสังคม ได้มีหน่วยงานในการพิจารณาคดีมากเกินไป เกิดความล่าช้าสังกัดของศาลแยกไปอยู่หลายกรมเกิดความล่าช้าและไม่ยุติธรรมระบบการรับสินบนฝังรากลึกมาแต่ในอดีตปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้สยามถูกกดดันทำให้เกิดความยากลำบากในการปกครองและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
7. ปัญหาด้านการศึกษาสยามประเทศก่อนปฏิรูปยังไม่มีระบบการศึกษาสมัยใหม่ไม่มีหน่วยงานที่จะรับผิดชอบในการจัดการศึกษาโดยตรงการศึกษาจำกัดอยู่เฉพาะราชวงศ์ขุนนางชั้นสูงเกิดความไม่ยุติธรรม ทำให้โอกาสการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ลางเลือน ประเทศขาดคนที่มีคุณภาพเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศขาดพลังที่จะช่วยรักษาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยอีกทั้งยังทำให้ต่างชาติดูถูกสยามประเทศว่ามีความป่าเถื่อน ล้าหลัง
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนกลาง
การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางได้จัดแบ่งหน่วยงานออกเป็นกระทรวงต่าง ๆ ตามลักษณะเฉพาะ เพื่อให้การบริหารงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยปรับปรุงการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางซึ่งมีมาแต่เดิมนับตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ มหาดไทย กลาโหม เมือง วัง คลัง นาอันได้ใช้เป็นระเบียบปกครองประเทศไทยตลอดมาจนถึงรัชกาลที่ 5 เหตุแห่งการปฏิรูปการปกครอง และระเบียบราชการส่วนกลางในรัชการนี้ ก็เนื่องจากองค์การแห่งการบริการส่วนกลาง ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติราชการให้ได้ผลดีและความเจริญของประเทศและจำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นข้าราชการเพิ่มขึ้น แต่องค์การแห่งราชการบริหารส่วนกลางยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้ทรงตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นโดยได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ และผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ ขึ้นโดยได้จัดสรรให้อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ดังนี้ คือ
1. กระทรวงมหาดไทย บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวประเทศราช (ในช่วงแรก) แต่ต่อมาได้มีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งหมดที่มีให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย
2. กระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกตะวันออก และเมืองมลายูประเทศราช เมื่อมีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองไปให้กระทรวงมหาดไทยแล้วกระทรวงกลาโหมจึงบังคับบัญชาฝ่ายทหารเพียงอย่างเดียวทั่วพระราชอาณาเขต
3. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) มีหน้าที่ด้านการต่างประเทศ
4. กระทรวงวัง ว่าการในพระราชวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) การโปลิศและการบัญชีคน คือ กรมพระสุรัสวดีและรักษาคนโทษ
6. กระทรวงเกษตราธิการ ว่าการเพาะปลูกและการค้า ป่าไม้ เหมืองแร่
7. กระทรวงพระคลัง ดูแลเรื่องเงิน รายได้ รายจ่ายของแผ่นดิน
8. กระทรวงยุติธรรม จัดการเรื่องศาลซึ่งเคยกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ นำมาไว้ที่แห่งเดียวกันทั้งแพ่ง อาญา นครบาล อุทธรณ์ทั้งแผ่นดิน
9. กระทรวงยุทธนาธิการ ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหารเรือ
10. กระทรวงธรรมการ จัดการเกี่ยวกับการศึกษา การรักษาพยาบาล และอุปถัมภ์คณะสงฆ์
11. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ก่อสร้างทำถนน ขุดคลอง การช่าง การไปรษณีย์โทรเลขการรถไฟ
12. กระทรวงมุรธาธิการ มีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนดกฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง
เมื่อได้ประกาศปรับปรุงกระทรวงใหม่เสร็จเรียบร้อยจึงได้ประกาศตั้งเสนาบดีและให้เลิกอัครเสนาบดีทั้ง 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายกและสมุหกลาโหม กับตำแหน่งจตุสดมภ์ให้เสนาบดีทุกตำแหน่งเสมอกันและรวมกันเป็นที่ประชุมเสนาบดีสภา หรือเรียกว่า ลูกขุน ณ ศาลา ต่อจากนั้นได้ยุบรวมกระทรวง และปรับปรุงใหม่เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงต่างๆ ยังคงมีเหลืออยู่ 10 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงการ-ต่างประเทศ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงวัง กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงธรรมการ
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
ด้วยเหตุที่มีการรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองซึ่งเคยแยกกันอยู่ใน 3 กรม คือ มหาดไทยกลาโหมและกรมท่า ให้มารวมกันอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว การปฏิรูปหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคจึงมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทน (field) หรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐบาลกลางโดยส่วนรวมทั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองแบบเมืองหลวง เมืองชั้นใน เมืองชั้นนอก เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราชเดิม เพื่อให้ลักษณะการปกครองเปลี่ยนแปลงแบบราชอาณาจักรโดยการจัดระเบียบการปกครองให้มีลักษณะลดหลั่นตามระดับสายการบังคับบัญชาหน่วยเหนือลงไปจนถึงหน่วยงานชั้นรอง ตามลำดับดังนี้
1.การจัดรูปการปกครองมณฑลเทศาภิบาล โดยการรวมหัวเมืองต่าง ๆ เป็นมณฑลตามสภาพภูมิประเทศและความสะดวกแก่การปกครอง มีสมุหเทศาภิบาลซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเลือกสรรจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความสามรถสูงและเป็นที่วางพระราชหฤทัยแต่งตั้งให้ไปบริหารราชการต่างพระเนตรพระกรรณ
2.การจัดรูปการปกครองเมือง มีการปกครองใช้ข้อบังคับลักษณะการปกครองท้องที่ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดหน่วยบริหารที่ชื่อว่า "เมือง" ใหม่โดยให้รวมท้องที่หลายอำเภอเป็นหัวเมืองหนึ่งและกำหนดให้มีพนักงานปกครองเมืองแต่ละเมือง ประกอบด้วยผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาเมือง และมีคณะกรรมการเมือง 2 คณะ คือ กรมการในทำเนียบและกรมการนอกทำเนียบเป็นผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำพระมหากษัตริย์ทรงเลือกสรร และโยกย้ายผู้ว่าราชการเมือง
3. การจัดการปกครองอำเภอ อำเภอเป็นหน่วยบริหารราชการระดับถัดจากเมืองเป็นหน่วยปฏิบัติราชการหน่วยสุดท้ายของรัฐที่จะเป็นผู้บริการราชการในท้องที่ และให้บริการแก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลกลาง เป็นหน่วยการปกครองที่จัดตั้งขึ้นโดยการรวมท้องที่หลายตำบลเข้าด้วยกัน มีกรมการอำเภอซึ่งประกอบด้วยนายอำเภอปลัดอำเภอ และสมุห์บัญชีอำเภอร่วมกันรับผิดชอบในราชการของอำเภอ โดยนายอำเภอเป็นหัวหน้า ทั้งนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายนายอำเภอ เป็นอำนาจของข้าหลวงเทศาภิบาลสำหรับตำแหน่งลำดับรองๆ ลงไปซึ่งได้แก่ ปลัดอำเภอ สมุห์บัญชีอำเภอ และเสมียน พนักงาน ผู้ว่าราชการเมืองมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายหากท้องที่อำเภอใดกว้างขวางยากแก่การที่กรมการอำเภอจะไปตรวจตราให้ทั่วถึงได้และท้องที่นั้นยังมีผู้คนไม่มากพอที่จะยกฐานะเป็นอำเภอหรือกรณีที่ท้องที่ของอำเภอมีชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ว่าการอำเภอก็ให้แบ่งท้องที่ออกเป็น กิ่งอำเภอเพื่อให้มีพนักงานปกครองดูแลได้แต่กิ่งอำเภอยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอและอยู่ในกำกับดูแลของกรรมการอำเภอ
4. การจัดรูปการปกครองตำบลหมู่บ้าน อำเภอแต่ละอำเภอมีการแบ่งซอยพื้นที่ออกเป็นหลายตำบลและตำบลก็ยังซอยพื้นที่ออกเป็นหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองสุดท้ายที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดการปกครองระดับนี้มุ่งหมายที่จะให้ราษฎรในพื้นที่ เลือกสรรบุคคลขึ้นทำหน้าที่เป็นธุระในการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเป็นทั้งตัวแทนประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติงาน เป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับประชาชน คือเป็นผู้ประสานงานช่วยเหลืออำเภอ และเป็นตัวแทนของรัฐสอดส่องดูแลทุกข์สุขของราษฎร์ ตลอดจนช่วยเก็บภาษีอากรบางอย่างให้รัฐ
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่นจากต่างประเทศมา
ดำเนินการโดยริเริ่มทดลองให้มีการจัดการสุขาภิบาลกรุงเทพฯและการสุขาภิบาลหัวเมือง รายละเอียดดังนี้
1. การจัดการสุขาภิบาลกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มให้จัดการบำรุงท้องถิ่นแบบสุขาภิบาล ขึ้นในกรุงเทพ อันเป็นอิทธิพลสืบเนื่องมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีโอกาสไปดู กิจการต่าง ๆในยุโรป และเนื่องจากเจ้าพระยาอภัยราชา(โรลังยัคมินส์) ติเตียนว่ากรุงเทพฯสกปรกที่รักษาราชการทั่วไปของประเทศในขณะนั้นได้กราบทูลกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าชาวต่างประเทศ มักติเตียนว่ากรุงเทพฯ สกปรกไม่มีถนนหนทางสมควรแก่ฐานะเป็นเมืองหลวงพระองค์ จึงโปรดเกล้าให้จัดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ขึ้นโดยมีพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 ออกใช้บังคับการจัดการดำเนินงานเป็นหน้าที่ของกรมสุขาภิบาล การบริหารกิจการในท้องที่ของสุขาภิบาลพระราชกำหนดได้กำหนดให้มีการประชุมปรึกษากันเป็นคราว ๆ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้รับหน้าที่ในด้านการอนามัยและการศึกษาขั้นต้นของราษฎร ได้ แบ่งสุขาภิบาลออกเป็น 2 ชนิด คือ สุขาภิบาลเมือง และสุขาภิบาลตำบล โดยสุขาภิบาลแต่ละชนิดมีหน้าที่
1.รักษาความสะอาดในท้องที่
2.การป้องกันและรักษาความเจ็บไข้ในท้องที่
3. การบำรุงและรักษาทางไปมาในท้องที่
4. การศึกษาขึ้นต้นของราษฎร
พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับได้ใช้อยู่จนกระทั่งหมดสมัยที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่มีนโยบายส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองของประเทศและสุขาภิบาลเริ่มประสบปัญหาต่างๆ จึงทำให้การทำงานของสุขาภิบาลหยุดชะงักและเฉื่อยลงตามลำดับ จวบจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475 คณะราษฎรมุ่งหวังที่จะสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย จึงตราพระราชบัญญัติการจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 เพื่อส่งเสริมให้มีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลอย่างกว้างขวาง
พัฒนาการชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
มูลเหตุการปรับปรุงการปกครอง
นายวรเดช จันทรศร ได้สรุปถึงปัญหาที่สยามประเทศเผชิญอยู่ในขณะนั้นที่เป็นเงื่อนไขความจำเป็นที่ก่อให้เกิดการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่รวม 7 ประการ ได้แก่
1. ปัญหาความล้าหลังของระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่มีรูปแบบของการจัดที่ทำให้เอกภาพของชาติตั้งอยู่บนรากฐานที่ไม่มั่นคงระบบบริหารล้าสมัยขาดประสิทธิภาพมีการทำงานที่ซ้ำซ้อนและสับสนการควบคุมและการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่สามารถทำได้ทำให้ความมั่นคงของประเทศอยู่ในอันตรายและยังเปิดโอกาสให้ค่านิยมของตะวันตกสามารถเข้าแทรกแซงได้โดยง่าย
2. ระบบบริหารการจัดเก็บภาษีอากรและการคลังของสยามประเทศ มิได้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาปรับปรุงบ้านเมืองและเสริมสร้างพระราชอำนาจให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์เนื่องจากขาดหน่วยงานกลางที่จะควบคุมดูแลการจัดเก็บรักษาและใช้เงินรายได้แผ่นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเจ้าพนักงานขุนนางผู้ดูแลการจัดเก็บภาษีรัฐ และเจ้าภาษีนายอากร ให้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ได้
3. การควบคุมกำลังคนในระบบไพร่ก่อให้เกิดปัญหาการใช้ไพร่เป็นฐานอำนาจทางการเมือง เพื่อล้มล้างพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ เกิดความไม่มั่นคงต่อพระราชบัลลังก์ เกิดการขาดเอกภาพในชาติทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเกิดความล้าหลังไพร่ไม่สามารถสะสมทางเศรษฐกิจทั้งนี้ เพราะผลเนื่องมาจากการเกณฑ์แรงงาน นอกจากนี้การฉ้อราษฎร์บังหลวงของมูลนาย ยังเป็นการทำลายผลประโยชน์ของพระมหากษัตริย์ และเกิดความเสียหายต่อสยามโดยรวม
4. ปัญหาการมีทาสก่อให้เกิดการกดขี่และความไม่เป็นธรรมในสังคมเป็นเครื่องชี้ความป่าเถื่อนล้าหลังของบ้านเมืองที่มีอยู่ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศต่างชาติอาจใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาแทรกแซงของลัทธิล่าอาณานิคมที่จะสร้างความศิวิไลซ์และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในชาติด้อยพัฒนาในแง่เศรษฐกิจระบบทาสของสยามเป็นระบบใช้แรงงานที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นการพัฒนาคุณภาพกำลังคนในชาติ
5. ระบบทหารของสยามประเทศเป็นระบบที่ไม่สามารถป้องกันผลประโยชน์ และเกียรติของชาติไว้ได้เป็นระบบที่ยึดถือแรงงานของไพร่เป็นหลักในการป้องกันพระราชอาณาจักรทำให้การควบคุมประชาชนในประเทศถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ทำให้สถานภาพของพระมหากษัตริย์และเอกภาพของชาติตั้งอยู่บนฐานที่ไม่มั่นคง ทำให้กองทัพขาดเอกภาพขาดระเบียบวินัยอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรบไม่อำนวยให้เกิดการฝึกหัดที่ดีและการเรียกระดมเข้าประจำกองทัพล่าช้าทำให้ไม่ทราบจำนวนไพร่พลที่แน่นอน
6. ปัญหาข้อบกพร่องของระบบกฎหมาย และการศาลที่ล้าสมัยแตกต่างจากอารยะประเทศไม่เป็นหลักประกันความยุติธรรมให้กับคนในชาติ และชาวต่างชาติบทลงโทษรุนแรงทารุณการพิจารณา ล่าช้าคดีคั่งค้างไม่สามารถรองรับความเจริญทางการค้าพาณิชย์และสภาพสังคม ได้มีหน่วยงานในการพิจารณาคดีมากเกินไป เกิดความล่าช้าสังกัดของศาลแยกไปอยู่หลายกรมเกิดความล่าช้าและไม่ยุติธรรมระบบการรับสินบนฝังรากลึกมาแต่ในอดีตปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้สยามถูกกดดันทำให้เกิดความยากลำบากในการปกครองและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
7. ปัญหาด้านการศึกษาสยามประเทศก่อนปฏิรูปยังไม่มีระบบการศึกษาสมัยใหม่ไม่มีหน่วยงานที่จะรับผิดชอบในการจัดการศึกษาโดยตรงการศึกษาจำกัดอยู่เฉพาะราชวงศ์ขุนนางชั้นสูงเกิดความไม่ยุติธรรม ทำให้โอกาสการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ลางเลือน ประเทศขาดคนที่มีคุณภาพเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศขาดพลังที่จะช่วยรักษาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยอีกทั้งยังทำให้ต่างชาติดูถูกสยามประเทศว่ามีความป่าเถื่อน ล้าหลัง
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนกลาง
การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางได้จัดแบ่งหน่วยงานออกเป็นกระทรวงต่าง ๆ ตามลักษณะเฉพาะ เพื่อให้การบริหารงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยปรับปรุงการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางซึ่งมีมาแต่เดิมนับตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ มหาดไทย กลาโหม เมือง วัง คลัง นาอันได้ใช้เป็นระเบียบปกครองประเทศไทยตลอดมาจนถึงรัชกาลที่ 5 เหตุแห่งการปฏิรูปการปกครอง และระเบียบราชการส่วนกลางในรัชการนี้ ก็เนื่องจากองค์การแห่งการบริการส่วนกลาง ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ส่วน ไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติราชการให้ได้ผลดีและความเจริญของประเทศและจำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นข้าราชการเพิ่มขึ้น แต่องค์การแห่งราชการบริหารส่วนกลางยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้ทรงตั้งกระทรวงเพิ่มขึ้นโดยได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกระทรวงแบบใหม่ และผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ ขึ้นโดยได้จัดสรรให้อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ดังนี้ คือ
1. กระทรวงมหาดไทย บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวประเทศราช (ในช่วงแรก) แต่ต่อมาได้มีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งหมดที่มีให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย
2. กระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตกตะวันออก และเมืองมลายูประเทศราช เมื่อมีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองไปให้กระทรวงมหาดไทยแล้วกระทรวงกลาโหมจึงบังคับบัญชาฝ่ายทหารเพียงอย่างเดียวทั่วพระราชอาณาเขต
3. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมท่า) มีหน้าที่ด้านการต่างประเทศ
4. กระทรวงวัง ว่าการในพระราชวัง
5. กระทรวงเมือง (นครบาล) การโปลิศและการบัญชีคน คือ กรมพระสุรัสวดีและรักษาคนโทษ
6. กระทรวงเกษตราธิการ ว่าการเพาะปลูกและการค้า ป่าไม้ เหมืองแร่
7. กระทรวงพระคลัง ดูแลเรื่องเงิน รายได้ รายจ่ายของแผ่นดิน
8. กระทรวงยุติธรรม จัดการเรื่องศาลซึ่งเคยกระจายอยู่ตามกรมต่าง ๆ นำมาไว้ที่แห่งเดียวกันทั้งแพ่ง อาญา นครบาล อุทธรณ์ทั้งแผ่นดิน
9. กระทรวงยุทธนาธิการ ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหารเรือ
10. กระทรวงธรรมการ จัดการเกี่ยวกับการศึกษา การรักษาพยาบาล และอุปถัมภ์คณะสงฆ์
11. กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ก่อสร้างทำถนน ขุดคลอง การช่าง การไปรษณีย์โทรเลขการรถไฟ
12. กระทรวงมุรธาธิการ มีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร รักษาพระราชกำหนดกฎหมายและหนังสือราชการทั้งปวง
เมื่อได้ประกาศปรับปรุงกระทรวงใหม่เสร็จเรียบร้อยจึงได้ประกาศตั้งเสนาบดีและให้เลิกอัครเสนาบดีทั้ง 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายกและสมุหกลาโหม กับตำแหน่งจตุสดมภ์ให้เสนาบดีทุกตำแหน่งเสมอกันและรวมกันเป็นที่ประชุมเสนาบดีสภา หรือเรียกว่า ลูกขุน ณ ศาลา ต่อจากนั้นได้ยุบรวมกระทรวง และปรับปรุงใหม่เมื่อสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทรวงต่างๆ ยังคงมีเหลืออยู่ 10 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงนครบาล กระทรวงการ-ต่างประเทศ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงวัง กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงธรรมการ
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนภูมิภาค
ด้วยเหตุที่มีการรวมการบังคับบัญชาหัวเมืองซึ่งเคยแยกกันอยู่ใน 3 กรม คือ มหาดไทยกลาโหมและกรมท่า ให้มารวมกันอยู่ในกระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียว การปฏิรูปหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาคจึงมีสภาพและฐานะเป็นตัวแทน (field) หรือหน่วยงานประจำท้องที่ของกระทรวงมหาดไทย หรือรัฐบาลกลางโดยส่วนรวมทั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองแบบเมืองหลวง เมืองชั้นใน เมืองชั้นนอก เมืองพระยามหานคร และเมืองประเทศราชเดิม เพื่อให้ลักษณะการปกครองเปลี่ยนแปลงแบบราชอาณาจักรโดยการจัดระเบียบการปกครองให้มีลักษณะลดหลั่นตามระดับสายการบังคับบัญชาหน่วยเหนือลงไปจนถึงหน่วยงานชั้นรอง ตามลำดับดังนี้
1.การจัดรูปการปกครองมณฑลเทศาภิบาล โดยการรวมหัวเมืองต่าง ๆ เป็นมณฑลตามสภาพภูมิประเทศและความสะดวกแก่การปกครอง มีสมุหเทศาภิบาลซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเลือกสรรจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความสามรถสูงและเป็นที่วางพระราชหฤทัยแต่งตั้งให้ไปบริหารราชการต่างพระเนตรพระกรรณ
2.การจัดรูปการปกครองเมือง มีการปกครองใช้ข้อบังคับลักษณะการปกครองท้องที่ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดหน่วยบริหารที่ชื่อว่า "เมือง" ใหม่โดยให้รวมท้องที่หลายอำเภอเป็นหัวเมืองหนึ่งและกำหนดให้มีพนักงานปกครองเมืองแต่ละเมือง ประกอบด้วยผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาเมือง และมีคณะกรรมการเมือง 2 คณะ คือ กรมการในทำเนียบและกรมการนอกทำเนียบเป็นผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำพระมหากษัตริย์ทรงเลือกสรร และโยกย้ายผู้ว่าราชการเมือง
3. การจัดการปกครองอำเภอ อำเภอเป็นหน่วยบริหารราชการระดับถัดจากเมืองเป็นหน่วยปฏิบัติราชการหน่วยสุดท้ายของรัฐที่จะเป็นผู้บริการราชการในท้องที่ และให้บริการแก่ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาลกลาง เป็นหน่วยการปกครองที่จัดตั้งขึ้นโดยการรวมท้องที่หลายตำบลเข้าด้วยกัน มีกรมการอำเภอซึ่งประกอบด้วยนายอำเภอปลัดอำเภอ และสมุห์บัญชีอำเภอร่วมกันรับผิดชอบในราชการของอำเภอ โดยนายอำเภอเป็นหัวหน้า ทั้งนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายนายอำเภอ เป็นอำนาจของข้าหลวงเทศาภิบาลสำหรับตำแหน่งลำดับรองๆ ลงไปซึ่งได้แก่ ปลัดอำเภอ สมุห์บัญชีอำเภอ และเสมียน พนักงาน ผู้ว่าราชการเมืองมีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายหากท้องที่อำเภอใดกว้างขวางยากแก่การที่กรมการอำเภอจะไปตรวจตราให้ทั่วถึงได้และท้องที่นั้นยังมีผู้คนไม่มากพอที่จะยกฐานะเป็นอำเภอหรือกรณีที่ท้องที่ของอำเภอมีชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ว่าการอำเภอก็ให้แบ่งท้องที่ออกเป็น กิ่งอำเภอเพื่อให้มีพนักงานปกครองดูแลได้แต่กิ่งอำเภอยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอและอยู่ในกำกับดูแลของกรรมการอำเภอ
4. การจัดรูปการปกครองตำบลหมู่บ้าน อำเภอแต่ละอำเภอมีการแบ่งซอยพื้นที่ออกเป็นหลายตำบลและตำบลก็ยังซอยพื้นที่ออกเป็นหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหน่วยการปกครองสุดท้ายที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดการปกครองระดับนี้มุ่งหมายที่จะให้ราษฎรในพื้นที่ เลือกสรรบุคคลขึ้นทำหน้าที่เป็นธุระในการรักษาความสงบเรียบร้อยโดยเป็นทั้งตัวแทนประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติงาน เป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับประชาชน คือเป็นผู้ประสานงานช่วยเหลืออำเภอ และเป็นตัวแทนของรัฐสอดส่องดูแลทุกข์สุขของราษฎร์ ตลอดจนช่วยเก็บภาษีอากรบางอย่างให้รัฐ
การปรับปรุงการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่นจากต่างประเทศมา
ดำเนินการโดยริเริ่มทดลองให้มีการจัดการสุขาภิบาลกรุงเทพฯและการสุขาภิบาลหัวเมือง รายละเอียดดังนี้
1. การจัดการสุขาภิบาลกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเริ่มให้จัดการบำรุงท้องถิ่นแบบสุขาภิบาล ขึ้นในกรุงเทพ อันเป็นอิทธิพลสืบเนื่องมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีโอกาสไปดู กิจการต่าง ๆในยุโรป และเนื่องจากเจ้าพระยาอภัยราชา(โรลังยัคมินส์) ติเตียนว่ากรุงเทพฯสกปรกที่รักษาราชการทั่วไปของประเทศในขณะนั้นได้กราบทูลกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าชาวต่างประเทศ มักติเตียนว่ากรุงเทพฯ สกปรกไม่มีถนนหนทางสมควรแก่ฐานะเป็นเมืองหลวงพระองค์ จึงโปรดเกล้าให้จัดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ขึ้นโดยมีพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 ออกใช้บังคับการจัดการดำเนินงานเป็นหน้าที่ของกรมสุขาภิบาล การบริหารกิจการในท้องที่ของสุขาภิบาลพระราชกำหนดได้กำหนดให้มีการประชุมปรึกษากันเป็นคราว ๆ ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้รับหน้าที่ในด้านการอนามัยและการศึกษาขั้นต้นของราษฎร ได้ แบ่งสุขาภิบาลออกเป็น 2 ชนิด คือ สุขาภิบาลเมือง และสุขาภิบาลตำบล โดยสุขาภิบาลแต่ละชนิดมีหน้าที่
1.รักษาความสะอาดในท้องที่
2.การป้องกันและรักษาความเจ็บไข้ในท้องที่
3. การบำรุงและรักษาทางไปมาในท้องที่
4. การศึกษาขึ้นต้นของราษฎร
พระราชบัญญัติทั้งสองฉบับได้ใช้อยู่จนกระทั่งหมดสมัยที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงดำรงตำแหน่งของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่มีนโยบายส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองของประเทศและสุขาภิบาลเริ่มประสบปัญหาต่างๆ จึงทำให้การทำงานของสุขาภิบาลหยุดชะงักและเฉื่อยลงตามลำดับ จวบจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475 คณะราษฎรมุ่งหวังที่จะสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย จึงตราพระราชบัญญัติการจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 เพื่อส่งเสริมให้มีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลอย่างกว้างขวาง
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)